วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นก

สัตว์ป่าสงวน
สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายาก กำหนดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ จำนวน ๙ ชนิด เป็นสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด ได้แก่ แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เนื้อทราย เลียงผา และกางผา สัตว์ป่าสงวนเหล่านี้หายาก หรือใกล้จะสูญพันธุ์หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วยการซื้อขาย ต่อมาเมื่อสถานการณ์ของสัตว์ป่าในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าหลายชนิดมีแนวโน้มถูกคุกคามเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการ ควบคุมดูแลการค้าหรือการลักลอบค้าสัตว์ป่าในรูปแบบต่างๆ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าหรือ CITES ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ.๒๕๑๘ และได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ นับเป็นสมาชิกลำดับที่ ๘๐ จึงได้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติฉบับเดิม และตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕ ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ หมายถึง สัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้ และตามที่กำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวก โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไข หรือเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ อย่างยิ่ง ๗ ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก ๑ ชนิด คือ เนื้อทราย รวมกับสัตว์ป่าสงวนเดิม ๘ ชนิด รวมเป็น ๑๕ ชนิด ได้แก่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต้วแล้วท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ และพะยูน
กระจงควาย
จาก Smithsonian National Zoological Park
กระจงควายเป็นหนึ่งในกระจงสองชนิดที่พบในประเทศไทย เป็นสัตว์กีบที่เกือบเล็กที่สุดในโลก หนักเพียง 5-8 กิโลกรัม ลำตัวยาว 70-75 เซนติเมตร ความสูงที่หัวไหล่ 30-35 เซนติเมตร หัวเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม จมูกยื่นแหลม ตาโต ลำตัวกลมปุ๊กลุกเหมือนกระต่าย ข้างหลังสูงกว่าข้างหน้า ขายาวเรียว ลำตัวสีน้ำตาลอมส้ม ใต้ท้อง หน้าอก และคางสีขาว หน้าคอมีเส้นสีขาวหลายเส้น ไม่มีเขา หางยาว 8-10 เซนติเมตร ตัวผู้มีเขี้ยวบนยาวแหลมโผล่พ้นปากออกมา มีกระเพาะสามตอน
กระจงควายชอบอาศัยอยู่ในตามพื้นล่างของป่าทึบที่ใกล้แหล่งน้ำ พบในประเทศไทย อินโดนีเซีย ศรีลังกา คาบสมุทรมลายู สุมาตราและบอร์เนียว
กระจงควายหากินเวลากลางคืน รักสันโดษมาก ไม่ขี้ตื่นเท่ากระจงเล็ก กระจงจะเดินตามทางด่านของตัวเองที่ดูเหมือนอุโมงค์ผ่านไปตามพุ่มไม้ กินผลไม้สุกที่หล่นตามพื้น พืชน้ำ ใบไม้ ยอดไม้ และหญ้า มันหวงถิ่นมาก ทำเครื่องหมายเขตแดนด้วยขี้ เยี่ยว และต่อมกลิ่นที่อยู่ใต้คาง เมื่อตื่นเต้นหรือโกรธ ตัวผู้จะถีบพื้นดินด้วยความถี่ราวสี่ครั้งต่อวินาที ตัวเมียมักอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวตลอด ส่วนตัวผู้มักย้ายถิ่นเสมอ
ช้างเอเชีย, ช้างอินเดีย, ช้างไทย
ช้างเอเชีย เป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เป็นสัตว์ที่คุ้นตาคนไทยทุกคน มีความสัมพันธ์กับคนมาช้านาน กษัตริย์ในอดีตทรงช้างทำยุทธหัตถี การสร้างบ้านแปงเมืองก็ต้องมีช้างเป็นกำลังสำคัญ ทุกวันนี้เด็กทุกคนก็ต้องเคยร้องเพลง "ช้าง" มาก่อน และในปัจจุบันก็คงเห็นง่ายขึ้นเพราะช้างเริ่มเข้ามาหากินในเมือง
เอกลักษณ์ของช้างที่รู้จักกันดีก็คือ อวัยวะพิเศษสองอย่าง นั่นคืองวง และงา งวงเป็นจมูกและริมฝีปากบนที่พัฒนาให้ยื่นยาวออกมาเป็นอวัยวะอเนกประสงค์ ใช้หยิบจับสิ่งของ เปล่งเสียง สูบน้ำ มีกำลังมหาศาล ส่วนงาเป็นเขี้ยวที่พัฒนาให้ใหญ่ขึ้นใช้เป็นอาวุธและงัดยกสิ่งของได้ ช้างเอเชียตัวผู้เท่านั้นที่มีงาใหญ่ ส่วนตัวเมียมีงาเล็กมาก เรียกว่า "ขนาย" ช้างตัวผู้บางตัวก็ไม่มีงา เรียกว่า "ช้างสีดอ"
เก้ง, อีเก้ง, ฟาน
ภาพจาก zoothailand.org
เก้ง เป็นสัตว์กีบที่เห็นได้ง่ายที่สุดชนิดหนึ่งในป่าเมืองไทย รูปร่างแบบกวาง แต่ตัวเล็ก หลังโก่งเล็กน้อย ลำตัวสีน้ำตาลแดง ด้านใต้ซีดและอมเทาเล็กน้อย หางด้านบนสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างสีขาว เก้งตัวผู้มีเขาสั้น ฐานเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระโหลกยื่นยาวขึ้นไปเป็นแท่ง มีขนปกคลุม และมีขนสีดำขึ้นตามแนวเขาจนดูเป็นรูปตัววีเมื่อมองด้านหน้าตรง ส่วนปลายเขาสั้น แต่เป็นง่ามเล็ก ๆ แค่สองง่าม ไม่แตกเป็นกิ่งก้านแบบกวาง ผลัดเขาปีละครั้ง ส่วนตัวเมียไม่มีเขาและฐานเขา แต่บนหน้าก็มีขนรูปตัววีเหมือนกัน เก้งตัวที่อายุมากผู้มีเขี้ยวยาวแหลมโค้งโผล่พ้นขากรรไกรออกมา เก้งเวลาเดินจะยกขาสูงทุกก้าว
เก้งร้องเสียงคล้ายหมาเห่า แต่ดังมาก จนบางคนที่ได้ยินเมื่อเข้าป่าอาจตกใจคิดว่าเป็นหมาป่าได้ ภาษาอังกฤษจึงชื่อเรียกว่าเก้งอีกชื่อหนึ่งว่า barking deer ซึ่งแปลว่า "กวางเห่า" นั่นเอง
ลิงลม, นางอาย
ภาพจาก hedweb.com
ลิงลมเป็นวานรชนิดหนึ่ง ไม่มีหาง ตาโต ลำตัวสีเหลืองอมน้ำตาลหรืออมเทา ส่วนท้องสีซีดกว่า สันจมูกสีขาว ขอบตาคล้ำ แนวสันหลังเป็นสีเข้มตลอดหนัง ตัวเล็ก น้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม
ลิงลมอาศัยอยู่บนต้นไม้ ปีนป่ายตามกิ่งไม้อย่างเชื่องช้า แต่เมื่อมีลมพัดแรงจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น และสามารถฉกจับแมลงได้อย่างรวดเร็ว อาหารหลักคือแมลง นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์เลื้อยคลาน ผลไม้ น้ำหวาน และเกสรดอกไม้ ออกหากินเวลากลางคืน ตอนกลางวันจะหลับตามง่ามไม้ หากินโดยลำพัง บางครั้งอาจพบเป็นคู่หรือเป็นครอบครัว ออกลูกทีละตัว ออกเป็นแฝดบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ลูกลิงลมอาศัยอยู่กับแม่เป็นเวลา 6-9 เดือน พบได้ตลอดแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังพบในเกาะสุมาตรา บอร์เนียว แต่ไม่พบในเกาะชวา
วัวแดง วัวดำ วัวเพลาะ
ภาพจาก thaidetail.com
วัวแดงมีลักษะทั่วไปคล้ายวัวบ้าน ขนตามลำตัวสั้น สีน้ำตาลแดง ขาทั้งสี่มีสีขาวดูเหมือนสวมถุงเท้า ก้นสีขาว ปากสีขาว และมีจุดสีขาวเหนือลูกตา เขาสั้นโค้งเป็นวง ยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร เขาของตัวเมียจะเล็กกว่าและเป็นวงแคบกว่า ปลายเขาชี้เข้าหากัน ส่วนเขาของตัวผู้ใหญ่กว่าและปลายเขาชี้ขึ้น มีโหนกสูงบริเวณหลังเหนือหัวไหล่ ความยาวลำตัว 190-225 เซนติเมตร ความสูงที่หัวไหล่ 160 เซนติเมตร หางยาว 65-70 เซนติเมตร หนัก 600-800 กิโลกรัม สีลำตัวของตัวผู้จะเข้มขึ้นตามอายุ
หมีขอ, บินตุรง
ภาพโดย David Blankจาก Animaldiversity Web
หมีขอไม่ใช่หมี แต่เป็นสัตว์ตระกูลชะมด เหตุที่มีชื่อเป็นหมีอาจเพราะมีขนดำหยาบยาวคล้ายหมี บางตัวขนบริเวณหัวอาจเป็นสีเทา ความยาวหัว-ลำตัว 61-96 เซนติเมตร หางยาว 50-84 เซนติเมตร หนัก 9-20 กิโลกรัม เป็นสัตว์ในวงศ์ชะมดและอีเห็นที่ใหญ่ที่สุด เล็บโค้งสั้น ตัวเมียมีหัวนม 4 หัว หมีขอมีต่อมฝีเย็บขนาดใหญ่ที่ผลิตสารกลิ่นฉุนที่ใช้ในการทำเครื่องหมาย
มี 3 ชนิดย่อย ชนิดย่อย A. b. binturong อาศัยอยู่ในเทือกเขาตระนาวศรี ชนิดย่อย A. b. kerkhoveni อาศัยอยู่ในตะวันออกของเกาะสุมาตรา ชนิดย่อย A. b. menglaensis พบในยูนนาน ประเทศจีน
หมีขออาศัยในป่าทึบตลอดอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ อินโดจีน ไทย พม่า มาเลเซีย สุมาตรา บังกา รีโออาร์คีเปลาโก ชวา บอร์เนียว และปาลาวัน

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผ้าไทย














































ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความนิยมให้ลักษณะของผ้าเป็นเครื่องแสดงฐานะและตำแหน่งของผู้สวมใส่ ข้าราชการที่ทำความดีควา มชอบ พระเจ้าแผ่นดินก็จะทรงมีบำเหน็จรางวัลให้และของอย่างหนึ่งที่ใช้ปูนบำเหน็จรางวัลก็คือ ผ้า ขุนนางจะรับพระราชทาน ผ้าสมปักไว้นุ่งเข้าเฝ้า ผ ้าพระราชทานนี้เปรียบเสมือนเงินเดือน แต่พระราชทานรายปี เรียกว่า ผ้าหวัดรายปี ผ้าสมปักมีหลายชนิด สำหรับฐานและตำแหน่งแตกต ่างกัน เช่น สมปักลายหัวหมื่นนายเวรใช้ สมปักไหมเจ้ากรมปลัดกรมใช้ ส่วนมหาดเล็กใช้ผ้าลาย บางทีการนุ่งผ้าสมปักก็ขึ้นอ ยู่กับโอกาสหรือพิธีบ างอย่างอีกด้วย
ในการนำผ้ามาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มนั้น คนไทยมีความเชื่อในเรื่องสีด้วย ซึ่งมาจากการเชื่อถือเรื่อเทวดาสัปตเคราะห์ หรือ แม่ซื้อ 7 องค์ แต่ละองค์มีสีกายแตกต่างกันไป ซึ่งก็คือสีประจำวันทั้งเจ็ดนั่นเอง นั่นคือ วันอาทิตย์สวมเสื้อผ้าสีแดง วันจ ันทร์สวมสี ขาวนวล วันอังคารสวมสีชมพู วันพุธสวมสีเขียว วันพฤหัสบดีสวมสีเหลืองอ่อน วันศุกร์สวมสีฟ้าอ่อน และวันเสาร์สวมสีดำ คนโบราณกำหนดวันนุ่งผ้าใหม่เป็นแบบข้างขึ้นข้างแรม เช่น ขึ้น 4,6,9 ค่ำ ตัดผ้า เย็บผ้า นุ่งผ้าใหม่ดี จะได้ลาภ แรม 4,11 ค่ำ ตัดผ้า เย็บผ้า นุ่งผ้าให ม่ดี มีลาภ เป็นต้น












ผ้ากรองทอง
ผ้ากรองทอง เป็นที่ที่ถักด้วยแล่งเงินหรือแล่งทอง ถักให้เป็นลวดลายต่อกันเป็นผื่น ส่วนมากนำมาทำเป็นผ้าสไบ ใช้ห่มทับลงบนผ้าแถบ และผ้าสไบอีกทีหนึ่ง มักใช้แต่เฉพาะเจ้านายผู้หญิงชั้นสูง มีขนาดกว้างยาวเท่ากับผ้าสใบ ชายผ้าด้านกว้างปลายเป็นชายครุย
เมื่อต้องการให้ผ้ากรองทองมีความงดงามเพิ่มมากขึ้น นิยมนำปีแมลงทับมาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เหมือนรูปใบไม้ และปักลงไปบนผ้ากรองทอง ในตำแหน่งที่คิดว่าจะสมมุติเป็นลายใบไม้










ผ้าขาวม้า
ผ้าขาวม้า เดิมเรียก ผ้ากำม้า เป็นผ้าประจำตัวของผู้ชาย ใช้เป็นทั้งผ้านุ่ง ผ้าเช็ดตัว ผ้าเคียนพุง และผ้าพาดไหล่ เป็นผ้าฝ้า ยผืนยาวทอเป็นลายตาตาราง










ผ้าเขียนทอง
ผ้าเขียนทอง ผ้าพิมพ์ลายอย่างดี เน้นลวดลาย เพิ่มความสวยงามด้วยการเขียนเส้นทองตามขอบลาย ผ้านี้เกิดขึ้นครั้งแรกสมัย รัชกาลที่ 1 และใช้ได้เฉพาะพระมหากษัตริย์ลงมาถึงชั้นพระองค์เจ้าโดยกำเนิดเท่านั้น








ผ้าตาโถง
ผ้าตาโถง ผ้าลายตาสี่เหลี่ยมหรือลายตาแทยงใช้เป็นผ้านุ่งของผู้ชายคล้ายผ้าโสร่ง



ผ้าปักไทย
ผ้าปักไทย เป็นผ้าที่ใช้กันในบรรดาเจ้านายชั้นสูง มีทั้งผ้านุ่ง ผ้าห่ม ซึ่งใช้ห่มทับสไบ ผ้าปูลาด และผ้าห่อเครื่องท รง ส่วนมากใช้ผ้าไหมพื้นเนื้อดีปักลวดลายด้วยไหมสีต่าง ๆ ทั้งผืน การปักไหมนี้ถ้าใช้ไหมสีทองมากก็เรียกว่า ผ้าปัก ไหมทอง





ผ้าปูม (มัดหมี่)


[ ขยายดูภาพใหญ่ ]
ผ้าปูม (มัดหมี่) ผ้าปูม หรือปัจจุบันทราบกันในชื่อมัดหมี่ ในประเทศไทยมีผลิตมากทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย โดยเฉพาะในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือส่วนล่างแทบทุกจังหวัด
ผ้าปูมนี้เดิมเป็นผ้าส่วยของหลวงมาจากเมืองเขมรที่ใช้พระราชทานเป็นเครื่องยศขุนนางเดิมไทยเรามีโรงไหมของหลวงทอผ้าสมปักปูมและสมปักเชิงกรวยพระราชทาน ทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นลายสีต่าง ๆ ใช้ตามยศตามเหล่า มีสมปักปูมเป็นชนิดสูงสุด สมปักริ้วเป็นชนิดต่ำ สุด ดังนั้นผ้าปูมคงหมายถึงเฉพาะผ้าสมปักปูมนั่นเอง อันเป็นของหายากมาก
ลักษณะการทอและรูปแบบของผ้ามัดหมี่นี้พบว่าเป็นเทคนิคที่มีอยู่ทั่วโลก ในประเทศที่มีอารยธรรมโบราณ ไม่ว่าจะเป็นประเทศในทวีปเอเชีย ทั้งจีน อินเดียว อินโดนิเซีย หรือในทวีปยุโรปและแอฟริกาด้วย ซึ่งจัดเป็นเทคนิคที่มีต้นกำเนิดที่น่าสนใจยิ่ง



ผ้าที่คนไทยเราใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มนั้นจะค้นคิดประดิษฐ์ได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อไรนั้น ไม่มีหลักฐานแน่นอนเด่นชัด ทราบแต่ว่าคนไทยเรารู้จักนำเอาฝ้าย ปอ และไหม มาทอเป็นผ้าได้นานแล้ว ปัจจุบันเจริญขึ้นถึงขั้นค้นคิดประดิษฐ์ใยสังเคราะห์ทาง วิทยาศาสตร์ขึ้นมาทอเ ป็นผ้าดังที่พบอยู่มากมาย หลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะที่พบแสดงให้เห็นว่า บนแผ่นดินไทยมีร่องรอยการใช้ ผ้าและทอผ้าได้ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ เมื่อราว 5,000 ปีมาแล้ว และสืบทอดต่อมาตลอดทั้งสมัยทวารวดีศรีวิชัย และลพบุรี ในจ ดหมายเหตุจ ีนที่บันทึกเกี่ยวกับดินแดนของไทยไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุยเมื่อพุทธศตวรรษที่ 10-11 และได้มีการลอกต่อ ๆ มา ปรากฎข้อความเกียวกับผ้าบันทึกอยู่ในภาพเขียน "คนไทย" จากส่วนหนึ่งของแผ่นภาพบันทึกเรื่องชาติที่ถวายเครื่องราชบรรณาการจีน ภาพนี้เขียนโดยเซียะสุย (Hsich -Sui) จิตรกรแห่งราชสำนักจีน ใน ค.ศ.1762 (พ.ศ.2305) รัชกาลพระจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ซิงซึ่งตรงกับรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์หรือสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ บันทึกเป็นข้อความภาษาจีนและภาษาแมนจู แปลได้ความว่า
" "สยาม" ตั้งอยู่บนบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจ้นเฉิน ในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังเรียกประเทศนี้ว่า "ซื่อถู่กวั๋ว" แปลว่าประเท ศที่มีดินสีแดงต่อมา ซื่อถู่กวั๋ว ได้รับการแบ่งออกเป็นสองรัฐ รัฐหนึ่งเรียกว่า หลัวฮู่ อีกรัฐหนึ่งเรียกว่า ฉ้วน (เสียน หรื อ เสียมในภาษาแต้จิ๋ว) ต่อมารัฐฉ้วนถูกรัฐหลัวฮู่เข้าตีและรวมกันได้พระเจ้าหงอู่ แห่งราชวงศ์หมิง จึงทรงเรียกประเทศใหม่ ว่า "ฉ้วนหลัว" ซึ่งได้ส่งเครื่องบรรณาการมาถวายพระเจ้ากรุงจีน และรัฐทั้งสองอ่อนน้อม เชื่อฟังจีนมาก
ประเทศฉ้วนหลัวมีเนื้อที่ 1,000 ลี้ ประกอบด้วยรัฐต่างๆ 9 รัฐเมืองใหญ่ๆ 14 เมือง กับอีก 72 จังหวัด
ตำแหน่งขุนนางมี 9 ชั้น 4 ชั้นแรกปกติจะสวมหมวกทองที่มียอดสูงและประดับด้วยอัญมณีต่าง ๆ ชั้นต่ำลงมาใช้ผ้าโพกศีรษะ ซึ่งจีน เรียกว่าหลงต้วน ทำด้วยผ้าไหม กำมะหยี่ ผ้าเหล่านี้ปักอย่างสวยงามและทอด้วยเส้นทอง หรือมีผ้าสั้นที่มีลายพิเศษด้านนอก ผ ู้ชาย มีผ้าคาดเอวทำด้วยผ้าปักไหม ผู้หญิงมีปิ่นทองหรือปิ่นเงินปักผม ผู้คลุมชั้นนอกมี 5 สี ส่วนผ้าชั้นในมีสีสันสวยงาม และทอผสมกับเส้นทอง ผ้านุ่งยาวมากกว่าตัวผู้นุ่ง 2-3 ชุ้น และผู้หญิงจะสวมรองเท้าหนังสีแดง"
บันทึกนี้เป็นหลักฐานที่สำคัญที่สนับสนุนถึงความเจริญรุ่งเรื่องทางวัฒนธรรมของคนไทยที่มีมานานนับพันปีได้อย่างดียิ่งหลักฐานหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องผ้าซึ่งปรากฎว่า เราสามารถผลิตได้เองและได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ นำผ้าจ ากต่างประเทศเข้ามาใช้ประโยชน์ต ่าง ๆ ตลอดมา





























































































ผ้าไทย

การใช้ผ้านี้ในบางโอกาสก็มีกฎเกณฑ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งบางอย่างเป็นประเพณีมาแต่เดิมและบางอย่างก็เป็นความเชื่อถือว่าดีเป็นมงคล เป็นต้นว่า เวลาไปฟังเทศน์ พระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายมักทรงชุดขาวเวลาออกศึกจะฉลองพระองค์ตามสีว ันอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยาแต่สำ หรับผู้หญิงที่มิได้ไปศึกสงคราม ก็มีการนุ่งห่มใช้สีสันไปอีกแบบหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างหญิงสาวชาววังนั้นนิยมนุ่งห่มด้วยสีตัดกัน ไม่นิยมใช้สีเดียวกันทั้งผ้านุ่งและสไบดังนี้
วันจันทร์
นุ่งเหลืออ่อน ห่มน้ำเงินอ่อนหรือห่มสีบานเย็น นุ่งสีน้ำเงินนกพิราบ ห่มจำปาแดง (สีดอกจำปาแก่ ๆ)
วันอังคาร
นุ่งสีปูนหรือม่วงเม็ดมะปราง ห่มสีโศก (สีเขียวอย่างสีใบโศกอ่อน) นุ่งสีโศกหรือเขียวอ่อน ห่มม่วงอ่อน
วันพุธ
นุ่งสีตะกั่วหรือสีเหล็ก ห่มสีจำปา
วันพฤหัสบดี
นุ่งเขียวใบไม้ ห่มแดงเลือดนก นุ่งแสด ห่มเขียวอ่อน
วันศุกร์
นุ่งน้ำเงินแก่ ห่มเหลือง
วันเสาร์
นุ่งม่วงเม็ดมะปราง ห่มสีโศก นุ่งผ้าลายพื้นม่วง ห่มสีโศก
วันอาทิตย์
จะแต่งเหมือนวันพฤหัสบดีก็ได้คือ นุ่งเขียวห่มแดง หรือนุ่งผ้าลายพื้นสีลิ้นจี่ หรือสีเลือดหมู ห่มสีโศก
เวลาไว้ทุกข์
นุ่งผ้าลายพื้นม่วง ห่มสีนวล
ผู้หญิงชาววังคงนิยมนุ่งดังนี้เรื่อยมา คนไทยมิได้ใช้สีดำเป็นสีไว้ทุกข์แต่อย่างใด คนไทยมานิยมตามแบบยุโรป คือใช้สีดำล้วนเมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พวกที่มิได้อยู่ภายในวังก็มิ ได้ปฎิบัติตามความนิยมที่ใช้สีน ุ่งห่มประจำวัน คือ อยากจะนุ่งห่มสีอะไรก็ได้หรือใช้สีเดียวกันทั้งชุดก็ได้ ไม่มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใด