สัตว์ป่าสงวน
สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายาก กำหนดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ จำนวน ๙ ชนิด เป็นสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด ได้แก่ แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เนื้อทราย เลียงผา และกางผา สัตว์ป่าสงวนเหล่านี้หายาก หรือใกล้จะสูญพันธุ์หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วยการซื้อขาย ต่อมาเมื่อสถานการณ์ของสัตว์ป่าในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าหลายชนิดมีแนวโน้มถูกคุกคามเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการ ควบคุมดูแลการค้าหรือการลักลอบค้าสัตว์ป่าในรูปแบบต่างๆ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าหรือ CITES ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ.๒๕๑๘ และได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ นับเป็นสมาชิกลำดับที่ ๘๐ จึงได้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติฉบับเดิม และตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕ ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ หมายถึง สัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้ และตามที่กำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวก โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไข หรือเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ อย่างยิ่ง ๗ ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก ๑ ชนิด คือ เนื้อทราย รวมกับสัตว์ป่าสงวนเดิม ๘ ชนิด รวมเป็น ๑๕ ชนิด ได้แก่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต้วแล้วท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ และพะยูน
กระจงควาย
จาก Smithsonian National Zoological Park
กระจงควายเป็นหนึ่งในกระจงสองชนิดที่พบในประเทศไทย เป็นสัตว์กีบที่เกือบเล็กที่สุดในโลก หนักเพียง 5-8 กิโลกรัม ลำตัวยาว 70-75 เซนติเมตร ความสูงที่หัวไหล่ 30-35 เซนติเมตร หัวเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม จมูกยื่นแหลม ตาโต ลำตัวกลมปุ๊กลุกเหมือนกระต่าย ข้างหลังสูงกว่าข้างหน้า ขายาวเรียว ลำตัวสีน้ำตาลอมส้ม ใต้ท้อง หน้าอก และคางสีขาว หน้าคอมีเส้นสีขาวหลายเส้น ไม่มีเขา หางยาว 8-10 เซนติเมตร ตัวผู้มีเขี้ยวบนยาวแหลมโผล่พ้นปากออกมา มีกระเพาะสามตอน
กระจงควายชอบอาศัยอยู่ในตามพื้นล่างของป่าทึบที่ใกล้แหล่งน้ำ พบในประเทศไทย อินโดนีเซีย ศรีลังกา คาบสมุทรมลายู สุมาตราและบอร์เนียว
กระจงควายหากินเวลากลางคืน รักสันโดษมาก ไม่ขี้ตื่นเท่ากระจงเล็ก กระจงจะเดินตามทางด่านของตัวเองที่ดูเหมือนอุโมงค์ผ่านไปตามพุ่มไม้ กินผลไม้สุกที่หล่นตามพื้น พืชน้ำ ใบไม้ ยอดไม้ และหญ้า มันหวงถิ่นมาก ทำเครื่องหมายเขตแดนด้วยขี้ เยี่ยว และต่อมกลิ่นที่อยู่ใต้คาง เมื่อตื่นเต้นหรือโกรธ ตัวผู้จะถีบพื้นดินด้วยความถี่ราวสี่ครั้งต่อวินาที ตัวเมียมักอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวตลอด ส่วนตัวผู้มักย้ายถิ่นเสมอ
ช้างเอเชีย, ช้างอินเดีย, ช้างไทย
ช้างเอเชีย เป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เป็นสัตว์ที่คุ้นตาคนไทยทุกคน มีความสัมพันธ์กับคนมาช้านาน กษัตริย์ในอดีตทรงช้างทำยุทธหัตถี การสร้างบ้านแปงเมืองก็ต้องมีช้างเป็นกำลังสำคัญ ทุกวันนี้เด็กทุกคนก็ต้องเคยร้องเพลง "ช้าง" มาก่อน และในปัจจุบันก็คงเห็นง่ายขึ้นเพราะช้างเริ่มเข้ามาหากินในเมือง
เอกลักษณ์ของช้างที่รู้จักกันดีก็คือ อวัยวะพิเศษสองอย่าง นั่นคืองวง และงา งวงเป็นจมูกและริมฝีปากบนที่พัฒนาให้ยื่นยาวออกมาเป็นอวัยวะอเนกประสงค์ ใช้หยิบจับสิ่งของ เปล่งเสียง สูบน้ำ มีกำลังมหาศาล ส่วนงาเป็นเขี้ยวที่พัฒนาให้ใหญ่ขึ้นใช้เป็นอาวุธและงัดยกสิ่งของได้ ช้างเอเชียตัวผู้เท่านั้นที่มีงาใหญ่ ส่วนตัวเมียมีงาเล็กมาก เรียกว่า "ขนาย" ช้างตัวผู้บางตัวก็ไม่มีงา เรียกว่า "ช้างสีดอ"
เก้ง, อีเก้ง, ฟาน
ภาพจาก zoothailand.org
เก้ง เป็นสัตว์กีบที่เห็นได้ง่ายที่สุดชนิดหนึ่งในป่าเมืองไทย รูปร่างแบบกวาง แต่ตัวเล็ก หลังโก่งเล็กน้อย ลำตัวสีน้ำตาลแดง ด้านใต้ซีดและอมเทาเล็กน้อย หางด้านบนสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างสีขาว เก้งตัวผู้มีเขาสั้น ฐานเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระโหลกยื่นยาวขึ้นไปเป็นแท่ง มีขนปกคลุม และมีขนสีดำขึ้นตามแนวเขาจนดูเป็นรูปตัววีเมื่อมองด้านหน้าตรง ส่วนปลายเขาสั้น แต่เป็นง่ามเล็ก ๆ แค่สองง่าม ไม่แตกเป็นกิ่งก้านแบบกวาง ผลัดเขาปีละครั้ง ส่วนตัวเมียไม่มีเขาและฐานเขา แต่บนหน้าก็มีขนรูปตัววีเหมือนกัน เก้งตัวที่อายุมากผู้มีเขี้ยวยาวแหลมโค้งโผล่พ้นขากรรไกรออกมา เก้งเวลาเดินจะยกขาสูงทุกก้าว
เก้งร้องเสียงคล้ายหมาเห่า แต่ดังมาก จนบางคนที่ได้ยินเมื่อเข้าป่าอาจตกใจคิดว่าเป็นหมาป่าได้ ภาษาอังกฤษจึงชื่อเรียกว่าเก้งอีกชื่อหนึ่งว่า barking deer ซึ่งแปลว่า "กวางเห่า" นั่นเอง
ลิงลม, นางอาย
ภาพจาก hedweb.com
ลิงลมเป็นวานรชนิดหนึ่ง ไม่มีหาง ตาโต ลำตัวสีเหลืองอมน้ำตาลหรืออมเทา ส่วนท้องสีซีดกว่า สันจมูกสีขาว ขอบตาคล้ำ แนวสันหลังเป็นสีเข้มตลอดหนัง ตัวเล็ก น้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม
ลิงลมอาศัยอยู่บนต้นไม้ ปีนป่ายตามกิ่งไม้อย่างเชื่องช้า แต่เมื่อมีลมพัดแรงจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น และสามารถฉกจับแมลงได้อย่างรวดเร็ว อาหารหลักคือแมลง นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์เลื้อยคลาน ผลไม้ น้ำหวาน และเกสรดอกไม้ ออกหากินเวลากลางคืน ตอนกลางวันจะหลับตามง่ามไม้ หากินโดยลำพัง บางครั้งอาจพบเป็นคู่หรือเป็นครอบครัว ออกลูกทีละตัว ออกเป็นแฝดบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ลูกลิงลมอาศัยอยู่กับแม่เป็นเวลา 6-9 เดือน พบได้ตลอดแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังพบในเกาะสุมาตรา บอร์เนียว แต่ไม่พบในเกาะชวา
วัวแดง วัวดำ วัวเพลาะ
ภาพจาก thaidetail.com
วัวแดงมีลักษะทั่วไปคล้ายวัวบ้าน ขนตามลำตัวสั้น สีน้ำตาลแดง ขาทั้งสี่มีสีขาวดูเหมือนสวมถุงเท้า ก้นสีขาว ปากสีขาว และมีจุดสีขาวเหนือลูกตา เขาสั้นโค้งเป็นวง ยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร เขาของตัวเมียจะเล็กกว่าและเป็นวงแคบกว่า ปลายเขาชี้เข้าหากัน ส่วนเขาของตัวผู้ใหญ่กว่าและปลายเขาชี้ขึ้น มีโหนกสูงบริเวณหลังเหนือหัวไหล่ ความยาวลำตัว 190-225 เซนติเมตร ความสูงที่หัวไหล่ 160 เซนติเมตร หางยาว 65-70 เซนติเมตร หนัก 600-800 กิโลกรัม สีลำตัวของตัวผู้จะเข้มขึ้นตามอายุ
หมีขอ, บินตุรง
ภาพโดย David Blankจาก Animaldiversity Web
หมีขอไม่ใช่หมี แต่เป็นสัตว์ตระกูลชะมด เหตุที่มีชื่อเป็นหมีอาจเพราะมีขนดำหยาบยาวคล้ายหมี บางตัวขนบริเวณหัวอาจเป็นสีเทา ความยาวหัว-ลำตัว 61-96 เซนติเมตร หางยาว 50-84 เซนติเมตร หนัก 9-20 กิโลกรัม เป็นสัตว์ในวงศ์ชะมดและอีเห็นที่ใหญ่ที่สุด เล็บโค้งสั้น ตัวเมียมีหัวนม 4 หัว หมีขอมีต่อมฝีเย็บขนาดใหญ่ที่ผลิตสารกลิ่นฉุนที่ใช้ในการทำเครื่องหมาย
มี 3 ชนิดย่อย ชนิดย่อย A. b. binturong อาศัยอยู่ในเทือกเขาตระนาวศรี ชนิดย่อย A. b. kerkhoveni อาศัยอยู่ในตะวันออกของเกาะสุมาตรา ชนิดย่อย A. b. menglaensis พบในยูนนาน ประเทศจีน
หมีขออาศัยในป่าทึบตลอดอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ อินโดจีน ไทย พม่า มาเลเซีย สุมาตรา บังกา รีโออาร์คีเปลาโก ชวา บอร์เนียว และปาลาวัน
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น